บทที่ 2
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
ถั่วทอง (ไทย-ภาคกลาง)
ชื่อสามัญ : Mung bean, Mungo, Mongo bean,
Green bean
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Phaseolus aureus Roxb.
วงศ์
: PAPILIONACEAE
ลักษณะทั่วไปของสมุนไพร :
ต้น : เป็นพรรณไม้ล้มลุกเนื้ออ่อน และจะมีอายุนานเพียงไม่เกิน
1 ปี
ลำต้นจะมีขนเป็นสีน้ำตาล และจะแตกกิ่งก้านสาขา
ใบ : เป็นใบรวมประกอบด้วยใบย่อยประมาณ 3 ใบ ฐานใบนั้นจะกว้างตรงปลายใบและแหลม
ดอก
: ดอกนั้นจะเป็นสีเหลือง
เมล็ด
(ผล) : ผลนั้นจะออกเป็นฝักและมีขนเป็นสีน้ำตาลอยู่ทั่วฝัก ฝักจะมีความยาวประมาณ
6-10 ซม.
ส่วนเมล็ดถั่วเขียวจะมีสีแตกต่างกัน จะเป็นสีเขียวหรือสีเหลืองก็ได้
สีเหลืองก็คือถั่วทองที่เราเรียกกันนั้นเอง
การขยายพันธุ์ : โดยการเพาะเมล็ด
ส่วนที่ใช้ : เมล็ด ใช้เป็นยา
ถั่วเขียว ภาษาอังกฤษ Mung Bean, Mung, Moong bean, Green Bean, Green Gram, Golden
Gram (กรณีที่เยื่อหุ้มเมล็ดเป็นสีเหลือง) ถั่วเขียว
ชื่อวิทยาศาสตร์ Vigna radiata (L.) R. Wilcz. จัดอยู่ในวงศ์
FABACEAE เช่นเดียวกับถั่วเหลือง ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วลันเตา
ถั่วลิสง ถั่วพู และถั่วฝักยาว[1],[2],[4] และถั่วเขียวยังมีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ
อีกเช่น ถั่วจิม (เชียงใหม่), ถั่วมุม (ภาคเหนือ), ถั่วเขียว ถั่วทอง (ภาคกลาง) เป็นต้น [8],[10]
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า
ถั่วเขียวมีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย และในเอเชียกลาง
เนื่องจากพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่ามีการปลูกถั่วเขียวในแคว้นมัธยประเทศ
ในประเทศอินเดียมากว่า 4,000 ปีแล้ว
และยังปลูกแพร่หลายในพม่า ไทย ศรีลังกา ปากีสถาน อิหร่าน จีน
และในภาพตะวันออกของอดีตสหภาพโซเวียต แต่การศึกษาของนักวิจัยในประเทศไทย
พบหลักฐานทางโบราณคดีที่ระบุว่าถั่วเขียวมีถิ่นกำเนิดในประเทศไทยโดยพบในถ้ำผี
จังหวัดแม่ฮ่องสอนอยู่ในสมัยหินกลางมีอายุราว 10,000 ปี[4]
การปลูกถั่วเขียวนั้นมีมาเนิ่นนานแล้ว
การเก็บเมล็ดถั่วเขียว ที่นิยมก็คือเก็บมาทั้งฝักด้วยมือ แล้วนำมาตากแห้ง
จากนั้นจึงสีเอาเมล็ดออกจากฝักด้วยเครื่องหรือใช้วิธีการเขย่าผ่านรูตะแกรง
โดยเมล็ดนอกจากจะมาปรุงอาหารแล้ว ที่นิยมกันมากก็คือ การนำมาเพาะเป็นถั่วงอก[2]
ลักษณะของถั่วเขียว
·
ต้นถั่วเขียว จัดเป็นพืชล้มลุกมีอายุราวหนึ่งปี
มีลำต้นตั้งตรงเป็นพุ่ม มีความสูงประมาณ 30-120
เซนติเมตรลำต้นแตกแขนงที่บริเวณโคนและส่วนกลาง
แต่มักไม่แตกแขนงที่ข้อใบเลี้ยง และข้อใบจริงคู่แรก
สำหรับบางพันธุ์ก็มีลำต้นเลื้อยหรือกึ่งเลื้อย ส่วนลำต้นที่อยู่เหนือใบเลี้ยง
ลักษณะค่อนข้างเป็นเหลี่ยมและมีขนอ่อนปกคลุมอยู่ทั่วไป
โดยถั่วเขียวเป็นพืชอายุสั้นประมาณ 65-70 วัน
สามารถปลูกได้ตลอดปี ใช้น้ำน้อย และทนแล้งได้ดี[4]

·
ใบถั่วเขียว ใบจริงคู่แรกเป็นใบเดี่ยวเกิดอยู่ตรงข้ามกัน
ถัดขึ้นไปทั้งหมดเป็นใบจริงประกอบด้วย ใบย่อย 3 ใบ เกิดแบบสลับอยู่บนลำต้น ที่ฐานของก้านใบมีหูใบอยู่ 2 อัน ก้านใบย่อยจะสั้น ใบย่อยและใบกลางมีหูใบย่อย 2 อัน
ส่วนใบย่อยด้านข้าง 2 ใบ จะมีหูใบย่อยอยู่ข้างละอัน
ลักษณะของใบคล้ายรูปไข่ถึงรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด มีขนาดประมาณ 5-18 x
4-15 เซนติเมตร และใบมีขนปกคลุมอยู่ทั่วไป[2]

·
ดอกถั่วเขียว ออกดอกเป็นช่อ ช่อดอกจะเกิดตามมุมใบที่อยู่ตอนบนของลำต้นและที่ปลายยอดของลำต้นหรือกิ่งก้าน
ก้านช่อดอกอาจยาวได้ถึง 20 เซนติเมตร
ช่อดอกเป็นช่อดอกแบบกระจะมีดอกย่อยอยู่หนาแน่น ในช่อหนึ่งๆ จะมีดอกย่อยอยู่ 2-25
ดอก กลีบดอกเป็นสีเหลือง หรือสีขาว หรือสีม่วง มีกลีบ 5 กลีบ ประกอบด้วยกลีบใหญ่ 1 กลีบ กลีบข้าง 2 กลีบ กลีบหุ้มเกสร 2 กลีบ
โดยดอกที่บานจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-2 เซนติเมตร
เกสรตัวเมียมีรังไข่ ลักษณะยาวรี โดยรังไข่หนึ่งๆ จะมีออวุลอยู่ประมาณ 10-15
หน่วย ส่วนเกสรตัวผู้มีอยู่ 10 อัน[4]

·
เมล็ดถั่วเขียว ตาเมล็ดหรือรอยแผลเป็นทางด้านเว้าของเมล็ดถั่วเขียวเรียกไฮลัม
(Hilum) ซึ่งมีสีขาว
และสีเยื่อหุ้มเมล็ดมีหลายสีด้วยกัน เช่น สีเขียว
เหลือง น้ำตาล ดำ หรือแดง ส่วนผิวของเมล็ดอาจจะมันหรือด้านก็ได้ โดยเมล็ด 100
เมล็ดจะมีน้ำหนักประมาณ 2-8 กรัม[4]

สรรพคุณของถั่วเขียว
1.
โพแทสเซียมช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อในร่างกายให้แข็งแรง[4]
2.
ถั่วเขียวมีสารต้านเอนไซม์โปรตีเอสในปริมาณสูง
ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ในการต่อต้านมะเร็ง[5]
3.
ช่วยบำรุงร่างกาย
บำรุงกำลัง เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกันและรักษาไข้หวัด[3],[5],[7],[10]
4.
ถั่วเขียวอุดมไปด้วยแมกนีเซียม
ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่ช่วยในการทำงานของระบบเผาผลาญในร่างกาย ช่วยผลิตโปรตีน
และกาดหดตัวข้องกล้ามเนื้อ[5]
5.
ช่วยลดความดันโลหิต[3]
6.
ช่วยทำให้เจริญอาหาร[3]
7.
ช่วยลดระดับไขมันและคอเลสเตอรอล
ช่วยควบคุมระดับไขมันในเลือด ควบคุมน้ำหนักได้ เพราะถั่วเขียวมีส่วนประกอบของไขมันที่ต่ำมาก
ไม่มีคอเลสเตอรอล และยังอุดมไปด้วยโปรตีนกับเส้นใยอาหาร[5]
8.
ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ[5]
9.
ถั่วเขียวมีฤทธิ์เย็น
ออกฤทธิ์ตามเส้นลมปราณของหัวใจและม้าม[6]
10.
ถั่วเขียวอุดมไปด้วยธาตุเหล็กซึ่งจำเป็นสำหรับการสร้างเม็ดเลือดแดงในร่างกาย[5]
11.
ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดและเบาหวานได้[3],[5]
12.
ถั่วเขียวอุดมไปด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัส
ที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง
และยังช่วยป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุนได้อีกด้วย[4],[5]
13.
ช่วยขับร้อน
แก้อาการร้อนใน และช่วยแก้พิษในฤดูร้อน[3],[7]
14.
ถั่วเขียวมีประโยชน์ต่อลำคอและผิวหนัง
และยังช่วยแก้อาการกระหายน้ำได้อีกด้วย[3],[9]
15.
เมล็ดถั่วเขียวนำมาต้มกับเกลือ
ใช้อมเพื่อรักษาโรคเลือดออกตามไรฟันได้[7]
16.
ช่วยถอนพิษในร่างกาย[3]
17.
ช่วยกระตุ้นประสาท[3] ถั่วเขียวเป็นแหล่งสำคัญของธาตุโบรอน (Boron) ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการส่งกระแสประสาทของสมอง
ทำให้ช่วยสมองทำงานได้ฉับไวมากขึ้น[5] และยังอุดมไปด้วยฟอสฟอสรัส
ที่ช่วยบำรุงเซลล์ประสาทและสมอง[4]
18.
ช่วยบำรุงสายตา[3] ทำให้ตาสว่าง และรักษาตาอักเสบ (เปลือกสีเขียว)[9] ช่วยแก้อาการตาพร่า ตาอักเสบ ด้วยการรับประทานถั่วเขียวต้มครั้งละ
15-20 กรัมเป็นประจำ[9]
19.
ช่วยรักษาคางทูมที่เป็นใหม่ๆ
ด้วยการต้มถั่วเขียว 70 กรัมจนใกล้สุก
แล้วใส่แกนกะหล่ำปลีลงไป / หัวต้มอีก 15 นาที
กินเฉพาะน้ำวันละ 2 ครั้ง[9]
20.
ช่วยแก้อาการอาเจียนจากการดื่มเหล้า
ด้วยการดื่มน้ำถั่วเขียวพอประมาณ[9]
21.
ช่วยขับของเหลวในร่างกาย[3]
22.
ในถั่วเขียวอุดมไปด้วยเส้นใยที่สามารถละลายน้ำได้ดี
จึงช่วยในขบวนการทำความสะอาดของร่างกายอย่างเป็นธรรมชาติ[5]
23.
ถั่วเขียวอุดมไปด้วยวิตามินบี2 ที่ช่วยป้องกันโรคปากนกกระจอกได้[5]
24.
ถั่วเขียวมีเส้นใยอาหารสูงจึงช่วยในการขับถ่าย
ป้องกันอาการท้องผูก ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
และยังส่งผลดีต่อระบบลำไส้โดยรวมอีกด้วย[5]
25.
เมล็ดถั่วเขียวนำมาต้มแล้วกินใช้เป็นยาขับปัสสาวะ[6],[8],[9]
26.
ช่วยแก้ลำไส้อักเสบ[3]
27.
ช่วยบำรุงตับ[5],[6]
28.
ช่วยแก้อาการไตอักเสบ[3]
29.
ช่วยแก้ผดผื่นคัน[3]
30.
ช่วยลดบวม[6]
31.
ช่วยรักษาโรคข้อต่างๆ
แก้ขัดข้อ[7],[10]
32.
ช่วยรักษาฝี
ด้วยการใช้ถั่วเขียวดิบหรือต้มสุก
นำมาใช้ตำแล้วพอกเป็นยารักษาภายนอกช่วยในการบ่มหนองให้ฝีกสุก
และยังใช้รักษาอาการอื่นๆ ได้อีกด้วย
เช่น แก้ท้องร่วง การคลอดบุตรยาก และโรคท้องมาน[8],[9]
33.
นำมาใช้ตำพอกแผล[7]
34.
ช่วยแก้พิษจากพืช
พิษจากสารหนู และพิษอื่นๆ[3],[6]
35.
ถั่วเขียวอุดมไปด้วยวิตามินบี1 ที่ช่วยในการป้องกันโรคเหน็บชาได้เป็นอย่างดี[5],[7]
36.
ถั่วเขียวอุดมไปด้วยโฟเลทสูง
ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากสำหรับหญิงตั้งครรภ์
เพราะช่วยป้องกันการพิการแต่กำเนิดของทารกได้[5]
นิยามศัพท์เฉพาะ
การแช่น้ำ (soaking)
หมายถึง การแช่ในน้ำเย็นหรือน้ำร้อนก่อนนำไปหุงต้มมีความสำคัญ
เพราะช่วยให้ เยื่อหุ้มเมล็ดถั่วนิ่มและถั่วสุกได้ง่ายขึ้น
ลดเวลาและเชื้อเพลิงที่ใช้ในการทำให้ถั่วสุกได้มาก ระยะเวลาการแช่ขึ้นกับชนิดของถั่ว
ความเก่าใหม่ของถั่ว โดยปกติมักแช่ค้างคืน (6 - 18 ชั่วโมง) หรือถ้าใช้น้ำร้อนก็ใช้เวลาลดลงได้
การแช่นานและทิ้งน้ำที่ใช้แช่ไปจะ ทำให้สูญเสียสารอาหารต่าง ๆ ที่ละลายน้ำ เช่น
น้ำตาล วิตามิน เกลือแร่ จึงควรนำน้ำ ที่แช่ถั่วมาบริโภคด้วย
การงอก (sprouting หรือ germination)
หมายถึง ภายหลังจากแช่น้ำเมล็ดถั่วให้นิ่มแล้ว ถ้าเก็บในที่ที่มีความชื้นมากและอุณหภูมิพอเหมาะ
ถั่วจะงอก ภายในเมล็ดจะมีการเปลี่ยนแปลงสารอาหารต่างๆที่เก็บสะสมไว้ เช่น
การสลายแป้ง โปรตีน ไขมัน ฯลฯ และมีการสังเคราะห์วิตามินหลายชนิดเพิ่มขึ้น เช่น
วิตามินซี ไรโบเฟลวิน วิตามินบีหนึ่ง วิตามินอี กรดแพนโทธีนิก ดังนั้นการบริโภคถั่วงอกจากถั่วเขียวหรือถั่วงอกหัวโตจากถั่วเหลือง
จะได้รับสารอาหารต่าง ๆ คล้ายการบริโภคผัก
,
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น